1. การเลือกใช้วัสดุ:
ฟิล์มพลาสติก:วัสดุทั่วไป ได้แก่ โพลีเอทิลีน (PE) โพลีโพรพิลีน (PP) และโพลีเอสเตอร์ (PET) วัสดุเหล่านี้มีความทนทาน ทนความชื้น และมีคุณสมบัติกั้นน้ำได้ดีเยี่ยม
ฟิล์มโลหะ: ถุงอาหารสุนัขบางชนิดใช้ฟิล์มโลหะ โดยมักมีส่วนผสมของอะลูมิเนียม เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการกั้น เช่น ป้องกันความชื้นและออกซิเจน
กระดาษคราฟท์: สำหรับตัวเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาจใช้กระดาษคราฟท์เป็นชั้นนอก ซึ่งจะให้รูปลักษณ์ที่เป็นธรรมชาติพร้อมทั้งยังให้การปกป้องอีกด้วย
2. รูปแบบของกระเป๋า:
ถุงแบน: เหมาะสำหรับใส่อาหารสุนัขหรือขนมสุนัขปริมาณน้อย
ถุงแบบตั้งได้: เหมาะสำหรับปริมาณมาก ถุงเหล่านี้จะมีก้นถุงเสริม ทำให้สามารถตั้งตรงบนชั้นวางของในร้านได้
ถุงซีลสี่ด้าน: ถุงเหล่านี้มีแผงด้านข้างสี่ด้านเพื่อความมั่นคงและมีพื้นที่สำหรับใส่แบรนด์มากมาย
ถุงฐานบล็อค: ถุงเหล่านี้มีฐานแบน ทำให้มีความมั่นคงและนำเสนอได้สวยงาม
3. กลไกการปิด:
การปิดผนึกด้วยความร้อน: ถุงอาหารสุนัขหลายชนิดได้รับการปิดผนึกด้วยความร้อนเพื่อให้ปิดสนิทและคงความสดของอาหารไว้
ซิปที่สามารถปิดผนึกซ้ำได้: ถุงบางใบมีตัวปิดแบบซิปล็อกที่สามารถปิดผนึกซ้ำได้ ช่วยให้เจ้าของสุนัขเปิดและปิดถุงได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ยังคงความสดใหม่ของสิ่งของภายในไว้ได้
4. คุณสมบัติการกั้น:ถุงใส่อาหารสุนัขได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งต่อความชื้น ออกซิเจน และแสง UV เพื่อป้องกันการเน่าเสียและรักษาคุณภาพทางโภชนาการของอาหาร
5. การพิมพ์แบบกำหนดเอง:ถุงอาหารสุนัขส่วนใหญ่สามารถปรับแต่งด้วยการระบุแบรนด์ ข้อมูลผลิตภัณฑ์ รูปภาพ และรายละเอียดโภชนาการเพื่อดึงดูดเจ้าของสัตว์เลี้ยงและสื่อสารข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. ขนาดและความจุ:ถุงใส่อาหารสุนัขมีหลายขนาดเพื่อรองรับปริมาณอาหารที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ถุงเล็กสำหรับใส่ขนมไปจนถึงถุงใหญ่สำหรับใส่อาหารสุนัขจำนวนมาก
7. กฎข้อบังคับ :รับประกันความสอดคล้องกับกฎระเบียบและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับวัสดุบรรจุภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและการติดฉลาก รวมถึงข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของอาหารและการติดฉลากผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง
8. ทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม:ผู้ผลิตบางรายนำเสนอวัสดุบรรจุภัณฑ์อาหารสุนัขที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งทำจากวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้หรือย่อยสลายได้เพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม